นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 600 บาท ภายใน 2 วันทำการ โดยล่าสุดทองคำแท่งราคารับซื้ออยู่ที่ 35,100.00 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,200.00 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณราคารับซื้ออยู่ที่ 34,473.84 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,700.00 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงขณะนี้ ถือว่าทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งความจริงวกกลับมาเป็นขึ้นตั้งแต่ช่วงราคาแตะ 34,400 บาทต่อบาททองคำแล้ว ขณะนี้ถือเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือออลไทม์ไฮ โดยเป้าหมายราคาในระยะยาวช่วง 1-2 ปีนี้ ที่ระดับราคา 38,000 บาทต่อบาททองคำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนในช่วงสั้นๆ นี้ คาดว่าราคาจะปรับขึ้นไปที่ 36,000 บาทต่อบาททองคำได้
ทองคำกลับหัวเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทำลายสถิติสูงสุดที่เคยขี้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ที่ออกมาน้อยกว่าคาดไว้ ประมาณ 2% กว่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการควบคุมให้อยู่ระดับประมาณนี้อยู่แล้ว จึงเป็นความหวังให้เฟดถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว บวกกับเงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงวันที่ผ่านมาจะแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามา แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ ถือเป็นแรงสนับสนุนราคาทองคำได้อย่างต่อเนื่อง นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าว
นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ราคาทองคำสปอต อยู่ประมาณ 2,080 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าจะวิ่งขึ้นไปที่เดิมระดับ 2,140 เหรียญสหรัฐต่อบาททองคำ ซึ่งหากปรับขึ้นไปแล้ว จะมีแรงซื้อเข้ามาจากกลุ่มซื้อเทคนิคเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ราคาทองคำจะยิ่งถูกดันสูงขึ้นไปอีก ไม่แตกต่างจากทองคำไทย ที่นักลงทุนมีความเก่งมาก สะท้อนจากตอนนี้ที่แม้มีการปรับขึ้นกว่า 600 บาทต่อบาททองคำแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแรงขายออกมากนัก โดยในช่วงต่อจากนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณลบของราคาทองคำเข้ามาด้วย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามต่างๆ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทองคำจึงถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความต้องการสูง เป็นหลุมหลบภัยชั้นดี และหากเฟดประกาศลดดอกเบี้ยลงแล้ว จะถือว่าของแสลงของทองคำหมดลง ปัจจัยลบที่มีผลกระทบหนักสุดจะหายไป เป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะถัดไปด้วย